12 วิธีป้องกัน "โรคหวัด"

วิธีป้องกันโรคหวัด, โรคหวัด,  goodbody4u, นิชาภา

12 วิธีป้องกัน "โรคหวัด"


1. กินอาหารที่มีโพรไบโอติกส์
โพรไบโอติกส์เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดที่ดีต่อร่างกาย และช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียที่ไม่ดี อาหารต้านหวัดที่มีโพรไบโอติกส์สูง จะช่วยสร้างเกราะคุ้มกันไม่ให้เชื้อโรคไข้หวัด เช่น กล้วย หัวหอม ต้นหอม กระเทียม หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวบาเลย์ ข้าวสาลี มะเขือเทศ โยเกิร์ต นมเปรี้ยว


2. ดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ
ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว จะช่วยชำระล้างสารพิษออกจากระบบต่างๆ ในร่างกายได้


3 ดื่มน้ำผลไม้คั้นสดๆ
น้ำผลไม้คั้นสดมีวิตามินสูง เช่น ฝรั่ง สาลี่ สตรอเบอร์รี่ มะละกอ ส้ม มะม่วง มะนาว สับปะรด และมะเขือเทศ มีวิตามินซีช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง


4. จิบชาดำ หรือชาเขียวผสมมะนาว น้ำผึ้ง
จะช่วยป้องกันหวัดได้ ไอน้ำที่ระเหยจากชาร้อนๆ สามารถกระตุ้นรูขุมขนในจมูก ทำให้ขนจมูกทำหน้าที่ในการดักเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น มะนาว และน้ำผึ้งยังช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่อาจกระตุ้นให้เกิดไข้หวัดได้อีกด้วย


5. ล้างมือบ่อยๆ
ล้างมือทุกครั้งก่อนการรับประทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำ หรือไปในที่สาธารณะ เชื้อหวัดแพร่กระจาย หากมีคนที่เป็นหวัดแพร่เชื้อ เราไปจับสิ่งของเหล่านั้นต่อ ก็มีโอกาสที่จะรับเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายได้


6. ทำจิตใจให้แจ่มใส อารมณ์ดี
การมีสุขภาพจิตดี ร่าเริงแจ่มใส ไม่เครียด ไม่วิตกกังวล จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินที่จะไปเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ ผ่อนคลาย สบายๆ ปล่อยวาง สุขสงบกับตัวเอง ป้องกันหวัดได้ชงัด


7. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
จะวิ่ง เดินเร็ว ว่ายน้ำ โยคะ ได้ทั้งนั้น เพราะการออกกำลังกาย ทำให้หัวใจสูบฉีดโลหิตในปริมาณที่มากขึ้น ทำให้เหงื่อออก อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น เซลล์ในร่างกายจึงต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้มากขึ้น


8. หลีกเลี่ยงที่จะอยู่ใกล้คนเป็นหวัด
ถ้าจำเป็นต้องดูแล ควรสวมหน้ากากอนามัยด้วยทุกครั้ง


9. งดสูบบุหรี่
หรือหลีกเลี่ยงที่จะอยู่ใกล้คนสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้ภูมิต้านทานตกลงอย่างรวดเร็ว ควันบุหรี่ทำให้ทางเดินหายใจแห้ง ปอดไม่ขยับเขยื้อน


10. งดการดื่มแอลกฮอลล์
การดื่มแอลกฮอล์มากๆ จะไปกดระบบภูมิต้านทานในร่างกายได้หลากหลายรูปแบบ คนที่ดื่มหนักจึงติดเชื้อ และเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย


11. หมั่นทำความสะอาด
ทำความสะอาด บ้าน ห้องนอน โต๊ะทำงาน หน้าจอสมาร์ทโฟน อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ช่วยขจัดเชื้อโรคต่าง ๆ ให้ออกไปได้

12. ฉีดวัคซีนช่วยป้องกัน
แต่วัคซีนนี้ไม่สามารถป้องกันเชื้อไข้หวัดได้ทุกสายพันธุ์ จะช่วยแค่เพียงป้องกันไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ที่มีการระบาดในปีนั้นๆ ได้เท่านั้น



#วิธีป้องกันหวัด #ไข้หวัด
#สุขภาพดีทำอะไรก็ดี
#สุขภาพแย่ทำอะไรก็แย่
#goodbody4uส่งมอบสุขภาพดีให้คุณถึงบ้าน
#goodbody4u

นาฬิกาชีวิตทำงานอย่างไร?

กระเพาะอาหาร, ตับ, ปอด, goodbody4u, นิชาภา


นาฬิกาชีวิตทำงานอย่างไร?


05.00 - 07.00 เวลาของลําไส้ใหญ่ ตื่นมาขับถ่ายกันดีกว่า
"ตื่นนอน และดื่มน้ำมากๆ เพื่อกระตุ้นระบบขับถ่าย" ลำไส้ใหญ่จะทำงานได้ดีในเวลานี้ ทำให้ของเสียและกากอาหารถูกขับออกจากร่างกายได้ดีที่สุด ถ้าเราไม่ถ่าย ร่างกายจะดูดซึม ของเสียเข้าสู่ร่างกายอีกรอบ ส่งผลกระทบมากมาย เช่น เป็นหวัด ไอ สิว ร้อนใน ท้องผูก แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย ริดสีดวงทวาร มะเร็งลําไส้ เป็นต้น

07.00 - 09.00 เวลาของกระเพาะอาหาร มาทานอาหารเช้ากัน
"ร่างการต้องการพลังงาน ฉะนั้นอาหารเช้าจําเป็นสุดๆ" ห้ามงดอาหารเช้าเด็ดขาด ช่วงนี้กระเพาะอาหารจะแข็งแรง สามารถย่อยอาหาร และดูดซึมได้ดีที่สุด ถ้าเราไม่ทานอาหาร กระเพาะ และม้ามจะอ่อนแอ ประกอบกับร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่จําเป็น ทําให้ร่างกายสร้างเลือดได้น้อย เลือดที่จะไปเลี้ยงสมองอาจไม่พอ มีผล ต่อสมาธิ ความจํา การตัดสินใจซ้า ขี้กังวล แก่เร็ว ระยะยาวอาจจะอ้วนได้

09.00 - 11.00 เวลาของม้าม และตับอ่อน ร่างกายกระปรี้กระเปร่า พร้อมทำงานแล้ว
"ช่วงเวลานี้ร่างกายตื่นตัวมาก กระปรี้กระเปร่า การทํางานหรือทํากิจกรรมอะไรจะได้ผลดี" เพราะม้ามจะดูดซึมสารอาหารที่มีประโยชน์ จากอาหารเช้า และส่งสารอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย เพราะฉะนั้นถ้าเราทานอาหารเช้าที่มีประโยชน์ ม้ามก็จะนําสารอาหารดีๆ ไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ทําให้ร่างกายสดชื่น สมองทํางานได้ดี

11.00 - 13.00 เวลาของหัวใจ ผ่อนคลาย นั่งทานข้าวเที่ยงแบบชิลล์ๆ
"เป็นช่วงเวลาของหัวใจ ที่ทําหน้าที่สูบฉีดเลือด และสารอาหารไปเลี้ยงทั้งร่างกาย" ซึ่งจะทํางานหนักที่สุด ช่วงนี้ระดับความดันเลือดในร่างกายเพิ่มสูงขึ้น ฉะนั้นช่วงเวลานี้ ห้ามเครียดเด็ดขาด ถ้าเราทําจิตใจให้สบาย ผ่อนคลาย ถือเป็นการดูแล กะนุถนอมหัวใจให้แข็งแรงอีกด้วย

13.00 - 15.00 เวลาของลําไส้เล็ก งดอาหารด้วยนะ
"ช่วงเวลานึ้งดอาหารทุกชนิด อย่าทานของจุกจิก เพราะจะเป็นการรบกวนการทํางานของลําไส้เล็ก" ซึ่งมีหน้าที่ย่อย แยกแยะ และดูดซึมอาหารที่เป็นน้ำทุกชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินบี โปรตีน ซึ่งทําหน้าที่สร้างกรดอะมิโน ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างเซลล์สมอง เวลานี้สมองซีกขวาทํางานดี ทั้งเรื่องความจํา จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ การวางแผน

15.00 - 17.00 เวลาของกระเพาะปัสสาวะ ดื่มน้ำบ่อยๆ และออกกําลังกาย
"ช่วงเวลานี้กระเพาะปัสสาวะ รอกําจัดของเสียออกจากร่างกาย" เพราะฉะนั้นช่วงนี้ควรดื่มน้ำเยอะๆ อย่ากลั้นปัสสาวะ การกลั้นปัสสาวะจะทําให้ปัสสาวะดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด มีผลในเรื่องความจํา ไทรอยด์ และระบบสืบพันธุ์ รวมทั้งจะทําให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบอีกด้วย และช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่หลอดเลือดหัวใจ และกล้ามเนื้อในร่างกายมีความแข็งแรง เหมาะที่จะออกกําลังกาย ทําให้เหงื่อออก เพื่อช่วยขับของเสียออกจากร่างกายอีกทางหนึ่ง

17.00 - 19.00 เวลาของไต สดชื่น แจ่มใส
ช่วงเวลานี้ยังไม่ควรเข้านอน เพราะจะทําให้ไตทํางานหนัก ควรออกกําลังกายหรือทํางานบ้าน เพื่อให้ร่างกายสดขึ้น แอคทีฟ เพิ่มความดันเลือด แถมช่วยให้ผิวสดใสแข็งแรง เปล่งปลั่งอีกด้วย ช่วงนี้ไตทําหน้าที่หนักในการกรองของเสียออกจากเลือด และรักษาสมดุลในร่างกาย

19.00 - 21.00 เวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ ทําจิตใจให้ผ่อนคลาย เข้าสู่โหมดธรรมะ นั่งสมาธิ
ช่วงเวลานี้ร่างกายต้องการความสงบ หยุดนิ่ง จะช่วยให้จิตใจ และร่างกายพร้อมที่จะเข้านอน ไม่ควรทําอะไร ตื่นเต้น หรือใช้พลังงานเยอะ เช่น ออกกําลังหนักๆ หรือทานอาหารปริมาณมาก เพราะจะทําให้นอนไม่หลับ เนื่องจากเยื่อหุ้มหัวใจเป็นส่วนประกอบสําคัญของหัวใจ และช่วงเวลานี้มีความสําคัญในการทํางานของระบบ หมุนเวียนเลือด และส่งอาหาร ออกซิเจน เม็ดเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย

21.00 - 23.00 เวลาการทํางานของระบบอุณหภูมิในร่างกาย นอนกันเถอะ
ทําร่างกายให้อบอุ่น ห้ามอาบน้ำเย็นในช่วงนี้ จะทําให้ป่วยง่าย อ่อนแอ เพราะช่วงนี้ร่างกายต้องการความอบอุ่น ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ระบบหายใจ (หัวใจ ปอด) ระบบย่อยอาหาร (กระเพาะอาหาร ม้าม ตับ) และระบบขับถ่าย (ไต กระเพาะปัสสาวะ ลําไส้เล็ก) พร้อมปรับสมดุลในร่างกาย อุณหภูมิในร่างกายจะค่อยๆ ลดลง ร่างกายเริ่มหลั่งเมลาโทนิน ช่วงนี้จึงควรนอนหลับพักผ่อน อย่าลืมจิบน้้ำนิดหน่อยก่อนนอน

23.00 - 01.00 เวลาของถุงน้ำดี
ที่ต้องจิบน้ำก่อนนอนช่วง 21.00 - 23.00 น. ก็เพราะช่วงเวลานี้จะมีผลกับถุงน้ำดี เพราะถุงน้ำดีเป็นถุงสํารอง เก็บน้ำดีที่ได้จากตับ พร้อมส่งไปช่วยย่อยไขมันในลําไส้เล็ก หรือถ้าอวัยวะใดในร่างกายขาดน้ำ จะดึงน้ำจากถุงน้ำดี ถ้ามีการดึงมากเกินไป ทําให้น้ำดีข้น เป็นผลทําให้สายตาเสื่อม เหงือกบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ปวดหัว

01.00 - 03.00 เวลาของตับ หลับให้สนิท ช่วยให้อ่อนกว่าวัย
เป็นเวลาที่ต้องพักผ่อน เพื่อให้เลือดไหลเวียนมาที่ตับได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตับจะหลั่งสารที่ช่วยฆ่าเชื้อโรค ทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย เพราะขณะที่เรานอนหลับ ตับจะกําจัดของเสียออกจากร่างกาย พร้อมเก็บสะสมเลือด ลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยนำมาสกัด และเก็บในรูปของไกลโคเจน

เพราะฉะนั้นถ้าช่วงเวลานี้เราไม่หลับ จะทำให้เลือดในตับน้อย ส่งผลให้ตอนเช้าเวียนหัว มึนหัว อ่อนเพลีย กลายเป็นคนขี้หงุดหงิดได้ และตับยังมีหน้าที่ดูแลเส้นผม ขน เล็บของเราให้แข็งแรงสวยงามอีกด้วย

03.00 - 05.00 เวลาของปอด เตรียมตื่น รับอากาศให้เต็มปอด
ใครอยากมีผิวเด้ง หน้าใส ต้องตื่นช่วงเวลานี้นะ เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า ทำให้ระบบหายใจทำงานเต็มที่ เป็นช่วงเวลาที่ปอดทำหน้าที่ฟอกเลือดได้อย่างเต็มที่ พร้อมแจกจ่ายไปยังเซลล์ต่างๆ ใหได้รับออกซิเจนเพียงพอ

#นาฬิกาชีวิตทำงานอย่างไร
#นาฬิกาชีวิต
#สุขภาพดีทำอะไรก็ดี
#สุขภาพแย่ทำอะไรก็แย่
#goodbody4uส่งมอบสุขภาพดีให้คุณถึงบ้าน
#goodbody4u

8 โรคเสี่ยงหาก"ล้างมือ" ไม่สะอาด

โรคอหิวาตกโรค, โรคตาแดง, กลากเกลื้อน, goodbody4u, นิชาภา


8 โรคเสี่ยงหาก”ล้างมือ” ไม่สะอาด

1. โรคอุจจาระร่วง
มาจากเชื้อโรคหลากหลายชนิด เช่น อีโคไล ที่มาจากเชื้อแบคทีเรีย และไวรัสที่มีอยู่ในอุจจาระ สามารถปนเปื้อนมากับวัตดุดิบที่นำมาปรุงอาหาร และการสัมผัสจากมือที่หยิบจับอาหาร วัตถุดิบที่มีเชื้อไวรัสปะปน ไม่ได้ทำความสะอาดให้ดีพอ
2. โรคตับอักเสบชนิดเอ
เชื้อโรคตับอักเสบชนิดเอจะอยู่ในอุจจาระของผู้ป่วย โดยสามารถติดต่อจากคนสู่คนโดยเชื้อเข้าสู่ปาก ซึ่งอาจมาจากการหยิบจับอาหารเข้าปากโดยตรง การใช้มือที่ติดเชื้อโรคสัมผัสจานชามช้อนส้อม หรือสัมผัสวัตถุดิบที่รับประทานสดอย่างผักผลไม้ต่างๆ
3. โรคบิด
ผู้ติดเชื้อส่วนมากจะเป็นพวกที่ไม่ทำความสะอาดมือหลังจากถ่ายอุจจาระ การแพร่เชื้อโดยการสัมผัสทางตรงกับสิ่งของต่างๆ หรือสัมผัสทางอ้อมกับอาหาร ส่วนการแพร่เชื้อผ่านทางน้ำและอาหารโดย แมลงสาบ และแมลงวัน เกิดขึ้นได้จากสัตว์เหล่านี้นำเชื้อมาปนเปื้อน
4. โรคอหิวาตกโรค
การติดต่อของโรคอหิวาตกโรคเกิดขึ้นโดยการกินอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อที่มีชีวิตปนอยู่ โดยเชื้อโรคสามารถมีชีวิตอยู่ในน้ำได้เป็นเวลานาน รวมถึงการรับประทานอาหารทะเลดิบ หรืออาหารดิบๆ สุกๆ และการใช้มือสัมผัสอาหารดิบ หรือน้ำที่มีเชื้อ จับต้องสัมผัสอาหารอื่นๆ รวมถึงจานชามช้อนส้อม
5. โรคมือเท้าปาก
โรคมือเท้าปากระบาดมากในเด็กเล็ก เพราะติดต่อโดยการสัมผัส น้ำมูก น้ำลาย หรืออุจจาระของผู้ป่วยโดยตรง หรือทางอ้อม เช่น สัมผัสผ่านของเล่น มือผู้เลี้ยงดู น้ำและอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ โรคนี้จึงมักระบาดในโรงเรียนชั้นอนุบาลเด็กเล็กหรือสถานรับเลี้ยงเด็กเล็ก แต่กับผู้ใหญ่ที่ดูแลความสะอาดของมือไม่ดีพอ ก็สามารถติดเชื้อและเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน
6. โรคตาแดง
โรคตาแดงสามารถพบได้ตลอดปี แต่อาจพบระบาดหนักในช่วงหน้าฝน เกิดจากการอักเสบของเยื่อบุตา จากการติดเชื้อไวรัส เป็นกลุ่มอาดิโนไวรัส ส่วนใหญ่จะติดต่อโดยตรงจากการสัมผัสน้ำตาของผู้ป่วย ที่ติดมากับนิ้วมือ และแพร่จากนิ้วมือมาติดที่ตาโดยตรง สามารถติดต่อได้ง่ายทั้งเด็กและผู้ใหญ่ พบได้บ่อยในเด็กเล็กและนักเรียนชั้นประถมศึกษา เป็นโรคที่ไม่มีอันตรายรุนแรง แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่เริ่มป่วย อาจติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนทำให้ตาพิการได้
7. กลากเกลื้อน
กลาก และเกลื้อน เป็นคนละโรคกัน แต่สามารถติดต่อจากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่งได้ด้วยการสัมผัส โดยอาจเป็นการสัมผัสจากมือที่รอยกลากเกลื้อนโดยตรง หรือเป็นการติดเชื้อจากการสัมผัสของเชื้อราติดต่อกันจากข้างของเครื่องใช้ต่างๆ รวมถึงสิ่งของตามสถานที่สาธารณะ รวมถึงเชื้อราที่อยู่ตามพื้นดิน กิ่งไม้ ใบไม้ผุ และตามขนสัตว์โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข แมว และของใช้ในร้านตัดผม ทำเล็บที่ใช้อุปกรณ์ร่วมกันโดยไม่ได้ทำความสะอาดให้ดีเพียงพอ
8. ไข้หวัด
ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ หรือไข้หวัดประเภทไหน มักมาจากการติดต่อของเชื้อไวรัสที่มาจากการไอ จาม ละอองน้ำลายที่อาจได้รับผ่านอากาศ หรือการไอจามรดมือแล้วมือของผู้ป่วยสัมผัสกับข้างของเครื่องใช้ต่างๆ และอาจเป็นสิ่งของตามสถานที่สาธารณะ เช่น ราวจับบนรถโดยสาร เสา ลูกบิดประตู เป็นต้น
#8โรคเสี่ยงหากล้างมือไม่สะอาด
#ล้างมือไม่สะอาก
#สุขภาพดีทำอะไรก็ดี
#สุขภาพแย่ทำอะไรก็แย่
#goodbody4uส่งมอบสุขภาพดีให้คุณถึงบ้าน
#goodbody4u

6 ประโยชน์ของ"พริกไทยดำ" ที่แสนน่าทึ่ง

ไอมีเสมหะ, แน่นท้อง, อาหารไม่ย่อย, goodbody4u, นิชาภา


6 ประโยชน์ของ"พริกไทยดำ" ที่แสนน่าทึ่ง

1. บรรเทาอาการไอมีเสมหะ
การแพทย์ชนบทของอังกฤษ และแพทย์แผนจีนใช้ชาพริกไทยดำผสมน้ำผึ้งบรรเทาอาการไอแบบมีเสมหะมาอย่างยาวนานแล้ว เนื่องจากพริกไทยดำมีรสเผ็ดร้อนจึงสามารถละลายเสมหะที่ติดอยู่ในลำคอให้ทางเดินหายใจสะดวกขึ้นได้ ส่วนน้ำผึ้งก็มีสรรพคุณคล้ายยาปฏิชีวนะจากธรรมชาติ กำจัดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียอย่างหมดจด อาการไอแถมเสมหะของเราจึงเบาบางลงเพียงแค่ดื่มชาพริกไทยดำผสมน้ำผึ้งอุ่นๆ สักแก้ว
2. ช่วยให้เลิกบุหรี่ได้สำเร็จ
ผลการศึกษา น้ำมันสกัดจากพริกไทยดำสามารถลดความอยากสูบบุหรี่ของคนที่ตั้งใจจะเลิกบุหรี่ได้ชะงัด ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะว่ากลิ่นเผ็ดร้อนของพริกไทยดำที่ถูกสูดผ่านหลอดลมจะคล้ายความรู้สึกตอนที่สูบบุหรี่เลยเชียว ดังนั้นใครอยากเลิกบุหรี่ก็ลองหาน้ำมันสกัดจากพริกไทยดำมาชุบสำลีแล้วดมดู
3. บรรเทาอาการคัดจมูก
พริกไทยดำถือว่าเป็นยาบรรเทาอาการคัดจมูกที่ธรรมชาติส่งมาให้ เพราะว่าในพริกไทยดำจะมีสารเคมีตัวหนึ่งซึ่งสามารถทำให้เยื่อหุ้มเซลล์ในจมูกระคายเคืองจนต้องไล่น้ำมูกออกมาโดยเร็ว ฉะนั้นจมูกก็จะโล่งมากขึ้น โดยการใช้พริกไทยดำเพื่อบรรเทาอาการคัดจมูกให้ใช้น้ำมันสกัดจากพริกไทยดำ 3 หยด นำไปต้มในน้ำ 1 ถ้วยตวง แล้วผสมน้ำมันยูคาลิปตัสลงไปเล็กน้อย ต้มจนไอร้อนพุ่งตัวออกมาแล้วจึงนำน้ำต้มนั้นมาสูดดมเพื่อบรรเทาอาการได้เลย
4. รักษาอาการเคล็ดขัดยอก
อาการเคล็ดขัดยอกจากการออกกำลังกายหรืออุบัติเหตุที่ทำให้คุณรู้สึกเจ็บปวดบริเวณกล้ามเนื้อ สามารถบรรเทาได้โดยนำน้ำมันสกัดจากพริกไทยดำ 2 หยด ผสมกับน้ำมันสกัดจากโรสแมรี่ ประมาณ 4 หยด เข้าด้วยกัน (คุณสามารถผสมน้ำมันสกัดจากขิงแทนน้ำมันสกัดจากโรสแมรี่ได้) แล้วนำมานวดบริเวณที่เคล็ดขัดยอกเบา ๆ ฤทธิ์ร้อนของพริกไทยดำจะซึมเข้าสู่กล้ามเนื้อและช่วยคลายกล้ามเนื้อที่หดเกร็งจนเกิดอาการเคล็ดขัดยอก
5. ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
หากรู้สึกแน่นท้อง อาหารไม่ย่อย หรือเกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อเป็นประจำ ลองเติมเมนูพริกไทยดำลงในมื้ออาหารดู พริกไทยดำจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งกรดไฮโดรคลอริก ซึ่งเป็นกรดในช่องท้องที่มีหน้าที่ปรับสมดุลการย่อยของอาหาร ทำให้ท้องไส้ทำงานเป็นปกติมากขึ้น
6. บำรุงผิวพรรณให้ผ่องใส
พริกไทยดำมีสารต้านอนุมูลอิสระและมีสรรพคุณในการต้านเชื้อแบคทีเรียค่อนข้างสูง เราจึงสามารถนำพริกไทยดำมาขัดผิวเพื่อให้พริกไทยดำช่วยชำระล้าง ผิวให้ผ่องใสได้สบายๆ อีกทั้งคุณสมบัติเรื่องความร้อนยังช่วยเปิดรูขุมขนให้ผิว คราวนี้ความสกปรกและไรฝุ่นที่ฝังลึกอยู่ใต้ผิวหนังก็จะถูกกำจัดออกไปจนเกลี้ยง สะดวกกับการชโลมครีมบำรุงผิวพรรณขั้นล้ำลึกอีกด้วย
#6ประโยชน์ของพริกไทยดำ พริกไทยดำ
#สุขภาพดีทำอะไรก็ดี
#สุขภาพแย่ทำอะไรก็แย่
#goodbody4uส่งมอบสุขภาพดีให้คุณถึงบ้าน

ใครเคยหน้ามืดตอนตื่นนอนบ้าง?

ความดัน, ความดันโลหิตต่ำ, goodbody4u, นิชาภา

ใครเคยหน้ามืดตอนตื่นนอนบ้าง?

ซึ่งสาเหตุของอาการหน้ามืดเวลาตื่นนอน ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ร่างกายและหัวใจของเรานั้น “ปรับตัวไม่ทัน”
เวลาลุกจากการตื่นนอน จากมุม 0 องศา เป็น 90 องศา จะทำให้หัวใจบีบตัวเร็วขึ้นเพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ทัน เมื่อร่างกายไม่สามารถปรับตัวได้ปกติเหมือนตอนเป็นหนุ่มสาว เลยส่งผลทำให้เกิดอาการหน้ามืด
วิธีแก้ไขอาการนี้ คือ
1. เวลาตื่นนอนให้พยายามลุกให้ช้าลง พยายามอย่ารีบร้อน เพื่อให้ร่างกายสามารถปรับตัวได้ทันท่วงที
2. ออกกำลังกาย เพราะหัวใจเริ่มทำงานไม่ค่อยดีเท่าที่ควร ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
3. พักผ่อนให้เพียงพอ ให้ร่างกายฟื้นฟูอย่างเต็มที่ รวมถึงทานอาหารให้ตรงเวลาครบทั้ง 5 หมู่
เมื่อทำได้ตามที่กล่าวข้างต้นอาการหน้ามืดเวลาตื่นนอนก็จะบรรเทาลงได้
แต่หากยังไม่ดีขึ้นอาจจะต้องมาพบแพทย์เพื่อทำการซักประวัติและและทำการรักษาต่อไปตามขั้นตอน

#หน้ามืดตอนตื่นนอน #หน้ามืด
#สุขภาพดีทำอะไรก็ดี
#สุขภาพแย่ทำอะไรก็แย่
#goodbody4uส่งมอบสุขภาพดีให้คุณถึงบ้าน
#goodbody4u

11 อาหาร "โรคกระเพาะ"ควรหลีกเลี่่ยง!

จุกเสียดแน่น, ท้องอืด, อาหารไม่ย่อย, goodbody4u, นิชาภา


11 อาหาร “โรคกระเพาะ”ควรหลีกเลี่ยง!

1. อาหารรสจัด
ได้แก่ อาหารที่มีรสเผ็ด รสเปรี้ยวจัด หวานจัด เค็มจัด อาหารรสจัดจะกระตุ้นเซลล์ให้ผลิตน้ำย่อยออกมามากขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการระคายเคืองบริเวณกระเพาะอาหาร ก่อให้เกิดอาการปวดท้องข้างซ้าย จุกเสียดท้องได้
2. ชา กาแฟ ช็อกโกแลต
เป็นข้อสงสัยอันดับต้นๆ เลยก็ว่าได้ ในประเด็นคนเป็นโรคกระเพาะกินกาแฟได้ไหม? เป็นโรคกระเพาะกินชาได้หรือเปล่า? คำตอบคือถ้าไม่อยากให้อาการโรคกระเพาะกำเริบ หรือกลับมาเป็นโรคกระเพาะซ้ำแล้วซ้ำเล่า ควรห่างจากชากาแฟสักพักใหญ่ๆ เนื่องจากกาแฟและชาชนิดต่างๆ เป็นเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะผลิตน้ำย่อยออกมามากขึ้น กัดกระเพาะเราจนรู้สึกแสบท้องไปอีก รวมทั้งช็อกโกแลตร้อนๆ และอาหารที่มีส่วนผสมของช็อกโกแลตก็ต้องงดไปก่อน
3. น้ำอัดลม
น้ำอัดลมทุกชนิดก็มีคาเฟอีนผสมอยู่ในจำนวนไม่น้อย อีกทั้งในน้ำอัดลมยังมีแก๊สที่ส่งผลให้เกิดอาการแน่นท้องเนื่องจากแก๊สในกระเพาะเยอะ สรุปง่ายๆ ว่านอกจากคาเฟอีนในน้ำอัดลมจะเป็นตัวเร่งให้เซลล์ผลิตน้ำย่อยแล้ว ในน้ำอัดลมยังอุดมไปด้วยแก๊ส ต้นเหตุของอาหารท้องอืด ท้องเฟ้อร่วมด้วย โดยเฉพาะคนที่ดื่มน้ำอัดลมในขณะท้องว่าง อาการแสบท้อง แน่นท้อง อันเป็นหนึ่งในอาการของโรคกระเพาะก็จะถามหา
4. เครื่องดื่มชูกำลัง
เครื่องดื่มชูกำลังทุกชนิดมีส่วนผสมของคาเฟอีนอยู่เช่นกัน ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยต่อกระเพาะอาหาร คนที่เป็นโรคกระเพาะอยู่แล้วก็ควรงดเครื่องดื่มชูกำลังไปด้วย
5. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อเยื่อบุกระเพาะอาหาร ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารจึงควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นสุรา เบียร์ ไวน์ หรือค็อกเทลชนิดต่างๆ ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในขณะที่ท้องว่าง
6. อาหารไขมันสูง ของทอด
เป็นอาหารที่ย่อยยาก กระเพาะจึงจำเป็นต้องหลั่งน้ำย่อยออกมาเพื่อย่อยอาหารประเภทไขมันในปริมาณมากขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลกระทบให้กับคนที่เป็นโรคกระเพาะรู้สึกแน่นท้อง ท้องอืด และแสบท้องเนื่องจากกรดในกระเพาะอาหารได้ ฉะนั้นของทอด อาหารมันๆ เนื้อสัตว์ติดมัน อาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบ จึงควรเลี่ยงไว้เป็นดี
7. ของหมักดอง
อาหารประเภทหมักดองทุกชนิดมักจะมีรสเปรี้ยว รวมทั้งมีความเป็นกรดซ่อนอยู่ในนั้น คนเป็นโรคกระเพาะอาหารจึงควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากของรสจัด อาหารหมักดองจะไปกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย ทำให้กระเพาะอาหารเกิดความระคายเคืองขึ้นได้
8. ผลิตภัณฑ์จากถั่ว
ถั่วและผลิตภัณฑ์จากถั่วอย่างน้ำเต้าหู้ เต้าหู้ นมถั่วเหลือง ก็เป็นอาหารที่ก่อให้เกิดแก๊สในกระเพาะได้ด้วยเช่นกัน สำหรับคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารและอยากหาย แนะนำให้เลี่ยงผลิตภัณฑ์จากถั่วทุกชนิด ทุกรูปแบบ
9. ผักดิบ
ผักเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และมีส่วนช่วยให้ระบบลำไส้และการย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นก็จริง ทว่าในกรณีที่กินผักดิบ ผักบางชนิดอาจเพิ่มแก๊สในกระเพาะอาหาร ปั่นอาการโรคกระเพาะให้กำเริบขึ้นมาได้ง่ายๆ โดยเฉพาะผักดิบอย่าง ถั่วฝักยาว บรอกโคลี กะหล่ำ หน่อไม้ฝรั่ง มันฝรั่ง มันเทศ และหัวหอม คนเป็นโรคกระเพาะกินผักเหล่านี้แบบดิบๆ อาจไม่ค่อยสบายท้องสักเท่าไร
10. ผลไม้รสเปรี้ยว
โดยเฉพาะในตอนท้องว่าง ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะควรงดการรับประทานผลไม้รสเปรี้ยวอย่างสับปะรด ส้ม หรือมะนาว เพราะความเป็นกรดในผลไม้เหล่านี้อาจทำให้กระเพาะอาหารระคายเคืองได้
11. เนื้อสัตว์สุกๆ ดิบๆ
เนื้อสัตว์อย่างเนื้อหมู เนื้อวัว เป็นอาหารที่ย่อยยากอยู่แล้ว และหากกินเนื้อสัตว์แบบสุกไม่พอ กินแบบสุกๆ ดิบๆ กระเพาะอาหารก็จะย่อยเนื้อสัตว์เหล่านี้ได้ยากขึ้น น้ำย่อยก็จะหลั่งออกมาย่อยอาหารเหล่านี้มากกว่าปกติ และใช้เวลาย่อยอาหารประเภทนี้นาน เสี่ยงทำให้กระเพาะอาหารระคายเคืองได้เช่นกัน
#อาหารโรคกระเพาะควรหลีกเลี่่ยง #โรคกระเพาะ
#โรคกระเพาะอาหาร #กระเพาะอักเสบ
#สุขภาพดีทำอะไรก็ดี
#สุขภาพแย่ทำอะไรก็แย่
#goodbody4uส่งมอบสุขภาพดีให้คุณถึงบ้าน
#goodbody4u

ขึ้นฉ่ายฝรั่ง หรือ เซเลอรี่ (Celery)

บำรุงกระดูก, ความดันโลหิต, แก้ท้องผูก, goodbody4u, นิชาภา

ขึ้นฉ่ายฝรั่ง หรือ เซเลอรี่ (Celery) 


มีลักษณะคล้ายขึ้นฉ่ายจีนที่เรากินกันบ่อยๆ เพียงแต่ลำต้นและใบมีขนาดใหญ่กว่ามาก และมีสีเขียวเข้มกว่าขึ้นฉ่ายปกติ

สารอาหารที่พบในขึ้นฉ่ายฝรั่งหรือเซเลอรี่ ทำให้หลายคนอยากทราบสรรพคุณของขึ้นฉ่ายฝรั่งกันแล้ว
1. ดีต่อหญิงตั้งครรภ์
เป็นแหล่งสำคัญของแคลเซียม และโฟเลต ซึ่งสารอาหารทั้งสองชนิดนี้สำคัญสำหรับหญิงตั้งครรภ์มากๆ
2. บำรุงกระดูก 
อุดมไปด้วยแคลเซียม โดยเซเลอรี่ 100 กรัม มีแคลเซียมอยู่มากถึง 40 มิลลิกรัม สรรพคุณที่สำคัญของขึ้นฉ่ายฝรั่งจึงช่วยในการบำรุงกระดูก ช่วยบำรุงครรภ์ และยังดีต่อเด็กที่มีภาวะโรคกระดูกอ่อนอีกด้วย
3. ช่วยควบคุมระดับความดันโลหิต
จัดเป็นผักที่มีโพแทสเซียมสูง จึงมีประโยชน์ต่อการควบคุมความดันโลหิต ช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว กระตุ้นให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น และยังช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจด้วย
4. เสริมภูมิคุ้มกัน
เป็นผักที่มีวิตามินซีอยู่พอสมควรช่วยบำรุงสุขภาพให้แข็งแรง โดยวิตามินซีในผักก็มีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิต้านทานของโรค ยิ่งกินสดๆ ได้ยิ่งดี
5. ช่วยลดน้ำหนัก
มีไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายน้ำจำนวนมาก ซึ่งเจ้าไฟเบอร์ที่ว่าจะทำให้เรารู้สึกอิ่มท้องได้นานขึ้น ช่วยให้ไม่หิวจุบจิบ และช่วยในการขับถ่าย ที่สำคัญยังมีแคลอรีต่ำอีกต่างหาก
6. แก้ท้องผูก
ด้วยจำนวนกากใยอาหารที่มีในขึ้นฉ่ายฝรั่ง จะช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย และนอกจากนี้ไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายน้ำยังมีคุณสมบัติช่วยให้การย่อยอาหารเป็นไปดัวยดีมากขึ้นด้วย
7. ต้านอนุมูลอิสระ
ใต้ความเป็นผัก แน่นอนว่าเซเลอรี่มีพฤกษเคมี และสารต้านอนุมูลอิสระอยู่หลายชนิด แต่เหตุผลที่ทำให้มีความน่าสนใจก็เพราะอุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งจะทำงานได้ดีไปกับสารต้านอนุมูลอิสระ อีกทั้งวิตามินซียังมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และภูมิต้านทานในร่างกาย
8. ต้านการอักเสบ
สารฟลาโวนอยด์ในขึ้นฉ่ายฝรั่งมีคุณสมบัติลดการอักเสบในช่องท้องของได้ อย่างไรก็ตาม ทั้งสารฟลาโวนอยด์ และสารต้านอนุมูลอิสระอีกหลายชนิดที่มีในเซเลอรี่ ก็ล้วนมีคุณสมบัติในการต้านอาการอักเสบที่อาจเกิดขึ้นกับเซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้
9. บำรุงผิวพรรณ
เป็นผักฉ่ำน้ำที่มีปริมาณน้ำในตัวเองค่อนข้างมาก ดังนั้นหากดื่มน้ำขึ้นฉ่ายฝรั่งปั่นก็จะทำให้ร่างกายได้รับน้ำไปบำรุงเซลล์ผิว นอกจากนี้ยังมีวิตามินอี วิตามินซี สารอาหารที่ดีกับการบำรุงผิวพรรณอีกด้วย
10. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
นอกจากจะมีสารอาหารเยอะแล้ว ขึ้นฉ่ายฝรั่งยังเป็นผักที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ กินแล้วไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูง และยังช่วยคงระดับน้ำตาลในเลือดให้ไม่แกว่งได้อีกด้วย

#ขึ้นฉ่ายฝรั่ง #เซเลอรี่ #Celery
#สุขภาพดีทำอะไรก็ดี
#สุขภาพแย่ทำอะไรก็แย่
#goodbody4uส่งมอบสุขภาพดีให้คุณถึงบ้าน
#goodbody4u