ท้องอืดบ่อย ควรหลีกเลี่ยง และงดอาหารเหล่านี้

อาหารไม่ย่อย, กระเพาะอักเสบ ,ลำไส้อักเสบเรื้อรัง ,ท้องอืด, goodbody4u, นิชาภา


>> ท้องอืดบ่อย ควรหลีกเลี่ยง และงดอาหารเหล่านี้
.
.
อาการท้องอืด ใครเป็นแล้วก็จะรู้ว่ามันอึดอัดขนาดไหน ซึ่งเป็นเพราะมีลมอยู่ในช่องท้อง ส่วนใหญ่อาการท้องอืดนี้มักเกิดจากการกินมากเกินไปจนอิ่มเกิน แต่ในความเป็นจริงแล้วอาการท้องอืดก็อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องกินเยอะ แต่เกิดจากอาหารที่กินเข้าไปนี่เอง อาการท้องอืดเกิดได้จากการกินอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ซึ่งจะมีการดูดซึมในลำไส้น้อย และมักเต็มไปด้วยน้ำตาลธรรมชาติสูง


อาหารในกลุ่มที่ว่านี้ จะถูกดูดซึมในลำไส้เล็กได้เพียงเล็กน้อย หรือบางครั้งก็ย่อยได้ไม่หมด และจากนั้นมันก็เกิดการหมักโดยเชื้อจุลินทรีย์ในทางเดินอาหาร จนทำให้เกิดแก๊สขึ้นในลำไส้ใหญ่ และส่งผลให้รู้สึกท้องอืดได้นั่นเอง สำหรับวิธีบรรเทาอาการท้องอืด แนะนำให้ดื่มน้ำเปล่ามากๆ เพื่อช่วยขับแก๊ส แต่หากมีอาการแน่นท้องอยู่บ่อยๆ ก็อาจต้องเลี่ยงอาหารบางชนิดที่ก่อให้เกิดอาการไม่สบายดังต่อไปนี้


1. ถั่ว
จัดเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยให้เป็นน้ำตาลได้ยาก คือเป็นเส้นใยอาหารที่ไม่สามารถย่อยได้ตามธรรมชาติ ไม่สามารถถูกดูดซึมได้ในลำไส้เล็ก จึงทำให้เกิดอาการท้องอืดได้ ซึ่งมักพบในประเภทถั่วเปลือกแข็งทั้งหลาย ดังนั้นหากจะรับประทานถั่วให้มีความสุขและท้องไม่อืด จึงควรนำถั่วเปลือกแข็งแช่น้ำค้างคืน ทิ้งไว้ ซึ่งน้ำจะช่วยให้ถั่วอ่อนนิ่มและยับยั้งคาร์โบไฮเดรตได้ จึงช่วยทำให้ลดอาการท้องอืดที่เกิดขึ้นได้


2. โยเกิร์ต
โยเกิร์ตมีเชื้อจุลินทรีย์ที่ดีต่อร่างกาย แต่บางชนิดก็อาจก่อให้เกิดผลเสียได้ เพราะโยเกิร์ตคือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม ได้จากการหมัก จึงอุดมด้วยน้ำตาลแล็กโทส หรือน้ำตาลที่พบในน้ำนมอยู่มากมาย จึงอาจทำให้เกิดการหมักอยู่ในลำไส้ และกลายเป็นฟองแก๊สได้ เมื่อทานเข้าไปจึงอาจรู้สึกเหมือนมีลมและปั่นป่วนท้อง ซึ่งหากไม่อยากให้เกิดอาการนี้ก็ควรกินกรีกโยเกิร์ตรสธรรมชาติ ซึ่งมีน้ำตาลเพียง 12 กรัมและให้โปรตีนสูง ส่วนโยเกิร์ตที่ปราศจากไขมันหรือแบบไขมันต่ำจะยิ่งทำให้เกิดแก๊สในท้องมากยิ่งขึ้น


3. หอมหัวใหญ่
ในหัวหอมใหญ่จะมี ฟรุกแทน เป็นคาร์โบไฮเดรตที่เป็นปัญหาต่อช่องท้อง เนื่องจากพืชผักตระกูลหอม ไม่ว่าจะเป็น หัวหอมแดง หัวหอมใหญ่ หรือต้นหอม มักดูดซึมในลำไส้ได้น้อย และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำในลำไส้ อีกทั้งยังส่งผลให้เกิดแก๊สและท้องอืดตามมา


4. ผักตระกูลกะหล่ำ
ไม่ว่าจะเป็นกะหล่ำปลี บรอกโคลี หรือกะหล่ำดอก ล้วนมีคาร์โบไฮเดรตที่เรียกว่าแรฟฟิโนส ประกอบด้วยน้ำตาล 3 ชนิดคือ ฟรักโทส กลูโคส และกาแลกโทส ซึ่งร่างกายจะไม่สามารถย่อยในระบบทางเดินอาหารได้ จนกว่าผักเหล่านี้จะถูกลำเลียงไปยังลำไส้ใหญ่ ซึ่งจะถูกย่อย แต่กว่าจะย่อยได้หมด กากอาหารจากผักนั้นก็จะเกิดการหมักหมม จนกลายเป็นแก๊ส ซึ่งหากไม่อยากท้องอืดก็ควรนำไปทำให้สุกก่อนกิน


5. แตงโม
ไม่น่าเชื่อผลไม้อย่างแตงโมจะทำให้ท้องอืดได้ ซึ่งอาจเป็นเพราะแตงโมจะอุดมไปด้วยน้ำตาลฟรักโทสในระดับที่สูงมาก ซึ่งในผู้ที่รับประทาน ประมาณ 30-40% ของคนส่วนใหญ่ จะไม่สามารถดูดซึมฟรักโทสได้อย่างเต็มที่ จึงนำไปสู่อาการท้องอืด หรือมีอาการท้องเสียร่วมด้วย


6. สารให้ความหวานสังเคราะห์
สำหรับสารให้ความหวานสังเคราะห์อย่างซอร์บิทอล และไซลิทอลถือว่าเป็นน้ำตาลแอลกอฮอล์ ส่วนใหญ่ถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในหมากฝรั่ง ซึ่งน้ำตาลเหล่านี้จะดูดซึมในลำไส้เล็กได้ค่อนข้างช้า จึงอาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร ท้องอืด แน่นท้อง และอาจท้องเสียตามมา


7. ธัญพืช
ไม่ว่าจะเป็นข้าวโพด ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ หรือ ข้าวไรย์ ต่างก็มีส่วนประกอบของฟรุกแทน ที่ไม่สามารถย่อยได้เองตามธรรมชาติ เส้นใยจากพืชที่ไม่ละลายแบบนี้ก็จะถูกหมักโดยเชื้อจุลินทรีย์ในลำไส้ใหญ่ นำไปสู่การเกิดแก๊สเป็นจำนวนมากได้อยู่ดี ดังนั้นในการกินธัญพืชแบบนี้ก็ควรสังเกตตัวเองให้ดี และอย่ากินเป็นจำนวนมาก
.
.
#ท้องอืดบ่อยควรหลีกเลี่ยงและงดอาหารเหล่านี้
#สุขภาพดีทำอะไรก็ดี
#สุขภาพแย่ทำอะไรก็แย่
#goodbody4uส่งมอบสุขภาพดีให้คุณถึงบ้าน
#goodbody4u

กรดไหลย้อน 3 ระยะ

อาหารไม่ย่อย, กระเพาะอักเสบ ,ลำไส้อักเสบเรื้อรัง ,ท้องอืด, goodbody4u, นิชาภา


กรดไหลย้อน 3 ระยะ 
.
.
💥ระยะที่ 1 : ท้องอืด ท้องเฟ้อ (โรคกระเพาะอาหาร)

อาการในระยะนี้ที่จริงก็คือ “โรคกระเพาะอาหาร” นี่เอง มักจะมีลมดันขึ้นมาก ทานอาหารแล้วจุกแน่นท้อง ท้องอืดเฟ้อ ท้องแข็ง เพราะการย่อยอาหารไม่มีประสิทธิภาพ ในกระเพาะอาหาร ลำไส้จึงมีลม และแก๊สที่เกิดจากอาหารตกค้างในลำไส้อยู่มาก


สาเหตุ
โดยมากแล้ว เกิดจากพฤติกรรมการทานอาหารที่ไม่ถูกต้อง เช่น

1. ทานอาหารไม่ตรงเวลา 
2. ไม่ทานอาหารเช้า ชอบดื่มกาแฟแทนอาหารมื้อเช้า 
3. ดื่มน้ำมาก หรือทานอาหารที่มีฤทธิ์เย็นเกินไปในเวลาทานอาหาร ทำให้น้ำย่อยเจือจาง การย่อยจึงไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร


💥ระยะที่ 2 : มีอาหารตกค้าง และจุลินทรีย์ที่ไม่ดีอยู่ในลำไส้มาก

1. อาหารที่ทานเข้าไปย่อยไม่ได้ เกิดการหมักหมมในลำไส้สร้างแก๊สมากจนท้องอืด เฟ้อ

2. หายใจได้ไม่สุด เหนื่อยง่าย เพราะลำไส้เริ่มโป่งพองจากลมจนเบียดกับกระบังลม ทำให้ปอดขยายตัวได้ไม่เต็มที่

3. เมื่อมีลมมากเกินไป จนดันขึ้นที่ส่วนบนของร่างกาย อาจจะนำพาเอาละอองน้ำกรด(น้ำย่อย) ขึ้นมาด้วย จนมีอาการแสบร้อนหน้าอก แสบคอได้

4. การถ่ายอุจจาระเริ่มไม่เป็นปกติ ท้องผูก ผายลมเหม็น หรืออาจมีอาการลำไส้แปรปรวน ท้องผูกสลับท้องเสีย เนื่องจากจุลินทรีย์ที่ดีลดลง จุลินทรีย์ก่อโรคขยายจำนวนเพิ่มขึ้น

5. ปวดตึงบ่าไหล่ เป็นประจำ เพราะเมื่อลำไส้เล็ก-ลำไส้ใหญ่ไม่สะอาด เกิดขยะ และแก๊สสะสมเยอะ เส้นลมปราณลำไส้เล็ก-ใหญ่ ที่พาดผ่านบ่าและไหล่ก็จะเกิดการติดขัด ลมปราณไหลเวียนไม่สะดวก

6. มีกลิ่นปากและกลิ่นตัวง่าย


สาเหตุ
เกิดจากการที่มีอุจจาระตกค้างในลำไส้มาก...เนื่องจากอาหารไม่ย่อย ย่อยไม่ดี นานวันเข้าหากไม่ได้รับการแก้ไข คนไข้ก็จะเริ่มมีอาการกรดไหลย้อนระยะที่ 2 คือ ขยะจากอาหารที่ย่อยไม่ได้เป็นอาหารอันโอชะของจุลินทรีย์ที่ไม่ดีซึ่งอาศัยอยู่ในลำไส้ ทำให้จุลินทรีย์ชนิดนี้อิ่มหนำสำราญ ออกลูกออกหลานแพร่จำนวนประชากรมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่จุลินทรีย์ที่ดีซึ่งทำหน้าที่ช่วยย่อยสลายอาหารให้กลายเป็นสารอาหารที่มีอยู่ ลดจำนวนลงเรื่อยๆ


💥ระยะที่ 3 : สารอาหารในเลือดเหลือน้อย เซลล์ขาดสารอาหาร

เป็นระยะที่มีคนจำนวนมาก เนื่องจากทานยารักษาอาการที่ปลายเหตุมาเป็นระยะเวลานานแต่อาการยังไม่ดีขึ้น และเริ่มมีผลกระทบหลายเรื่อง เช่นอ่อนเพลีย ไม่มีแรง หัวใจเต้นเร็ว นอนหลับยาก วิตกกังวล และเริ่มเครียดกับปัญหาสุขภาพ

อาการ
1. จุกแน่นบริเวณท้องจนถึงหน้าอก เพราะมีลมมากในลำไส้และกระเพาะอาหาร

2. หายใจได้ไม่สุด เหนื่อยง่าย เพราะลำไส้พองเบียดกับกระบังลม ทำให้ปอดขยายตัวได้ไม่เต็มที่

3. บางครั้งมีอาการจุกแน่น แสบหน้าอก อยากอาเจียน เพราะลมพาเอาละอองน้ำย่อยขึ้นมา

4. การถ่ายอุจจาระไม่เป็นปกติ ลักษณะไม่เป็นก้อน ถ่ายไม่หมด

5. หน้าตาและผิวพรรณทรุดโทรม ไม่ผ่องใส ริมฝีปากแห้งซีด เล็บเป็นคลื่นฉีกขาดง่าย

6. ปวดบริเวณขมับ ศีรษะด้านข้าง หรือท้ายทอยบ่อยๆ เพราะเลือดไปเลี้ยงศีรษะได้น้อยลง

7. นอนหลับไม่สนิท เนื่องจากหายใจได้เพียงสั้นๆ ทำให้มีออกซิเจนในเลือดและสมองน้อยลงเรื่อยๆ

8.หิวบ่อยๆ อยากทานอาหารที่ได้พลังงานเร็วเช่น แป้ง ของหวาน เพราะสารอาหารในเลือดไม่เพียงพอ

9. บางกรณีที่สารอาหารในเลือดน้อยมาก จนไม่เพียงพอหล่อเลี้ยงส่วนปลายของร่างกาย อาจมีอาการชาปลายมือ ปลายเท้า มึนศีรษะ ไม่ค่อยมีแรง หน้ามืด ไมเกรน ร่วมด้วย

10. ประจำเดือนมีเลือดออกมาน้อย หรือ ไม่ตรงเวลา


สาเหตุ
เมื่อเป็นโรคกรดไหลย้อนเป็นเวลานานระบบย่อยอาหารเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ทำให้การดูดซึมสารอาหารแย่ลงตามไปด้วย จนถึงขั้นที่สารอาหารในเลือดเริ่มเหลือน้อยลง ไม่สามารถถูกส่งไปหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกายได้เพียงพอ อวัยวะต่างๆ ในร่างกายล้วนต้องใช้เลือด เมื่อเลือดไม่เพียงพอ อวัยวะต่างๆ เช่น กระเพาะอาหาร ม้าม ตับ ก็จะปรับตัวทำงานลดลง ร่างกายเริ่มโหยหาและดูดซึมแป้ง และน้ำตาลไปใช้อย่างต่อเนื่องทำให้เกิดภาวะ ง่วงนอน อ่อนเพลีย มึนศีรษะ น้ำในหูไม่เท่ากัน บ้านหมุนได้ง่าย


#กรดไหลย้อน #โรคกรดไหลย้อน #โรคกระเพาะ #โรคกระเพาะอาหาร#กระเพาะอักเสบเรื้อรัง #จุกเสียดแน่น #ท้องอืด #อาหารไม่ย่อย #เรอเปรี้ยว #แสบร้อนกลางอก #จุกคอ #กลืนลำบาก


#กรดไหลย้อน3ระยะ 
#สุขภาพดีทำอะไรก็ดี
#สุขภาพแย่ทำอะไรก็แย่
#goodbody4uส่งมอบสุขภาพดีให้คุณถึงบ้าน
#goodbody4u


● ติดตามข้อมูลสุขภาพ ● 
https://www.facebook.com/goodbody4u/

● เยี่ยมชมเว็บไซต์ ● 
http://www.goodbody4u.com/

แอปเปิ้ล

อาหารไม่ย่อย, กระเพาะอักเสบ ,ลำไส้อักเสบเรื้อรัง ,ท้องอืด, goodbody4u, นิชาภา


>>แอปเปิ้ล 
.
.
เป็นผลไม้ที่มักนิยมนำมารับประทานเพื่อช่วยในการควบคุมน้ำหนัก เพราะมีไฟเบอร์สูง ทานแล้วช่วยให้อิ่ม

นอกจากนี้ยังมีโพแทสเซียม วิตามินบี วิตามินซี ซึ่งวิตามินซีเป็นแร่ธาตุที่ช่วยบำรุงและดูแลหลอดเลือดหัวใจ ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก และป้องกันไม่ให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายถูกทำลาย

และยังช่วยดูแลระบบย่อยอาหารไม่ให้เกิดอาการท้องผูกด้วย
.
.
#แอปเปิ้ล
#สุขภาพดีทำอะไรก็ดี
#สุขภาพแย่ทำอะไรก็แย่
#goodbody4uส่งมอบสุขภาพดีให้คุณถึงบ้าน
#goodbody4u

7 ประโยชน์ของ"หัวปลี"

อาหารไม่ย่อย, กระเพาะอักเสบ ,ลำไส้อักเสบเรื้อรัง ,ท้องอืด, goodbody4u, นิชาภา

7 ประโยชน์ของ"หัวปลี"

.

.
1. บำรุงเลือด
หัวปลีมีธาตุเหล็กสูง ช่วยบำรุงเลือด ป้องกันโลหิตจาง โดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์ หรือคุณแม่หลังคลอดบุตร


2. ขับน้ำนม
ด้วยสรรพคุณหัวปลีที่ช่วยบำรุงเลือด ทำให้หัวปลีมีประโยชน์ในการช่วยขับน้ำนมของหญิงหลังคลอดบุตร โดยให้รับประทานเมนูหัวปลีหลังคลอดใหม่ๆ จะช่วยขับน้ำนมได้ดีมาก


3. ลดระดับน้ำตาลในเลือด
ผลการวิจัยฤทธิ์ของหัวปลี กับการลดระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งพบว่าหัวปลีช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ และเพิ่มระดับฮีโมโกลบิน


4. ลดการอักเสบในร่างกาย
ในหัวปลีมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า มีทานอล พบว่าสารสกัดจากหัวปลีมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ค่อนข้างมาก และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันเซลล์ถูกทำลาย ป้องกันการอักเสบในร่างกายได้


5. ประจำเดือนมามาก หัวปลีช่วยได้
แมัห้วปลีจะมีสรรพคุณบำรุงเลือด แต่สำหรับสาวๆ ที่ประจำเดือนมามากเกินไป การทานหัวปลีจะช่วยลดปริมาณเลือดประจำเดือนได้ โดยหัวปลีมีสรรพคุณกระตุ้นร่างกายให้สร้างฮอร์โมนโปรเจสเทอโรน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชาย ช่วยให้ปริมาณเลือดประจำเดือนที่มามาก มาเกินความจำเป็นลดน้อยลงไปได้


6. ช่วยต้านอาการซึมเศร้า
หัวปลีมีแมกนีเซียม ธาตุอาหารสำคัญที่มีผลรักษาอาการซึมเศร้า ดังนั้นใครรู้สึกไม่ค่อยดี เหมือนซึมๆ เศร้าๆ ลองรับประทานหัวปลีสักเมนูดู


7. รักษาโรคกระเพาะ
ยางจากหัวปลีมีฤทธิ์สมานแผลในกระเพาะอาหาร โดยวิธีใช้ให้นำหัวปลีมาเผาแล้วคั้นเอาแต่น้ำมาดื่มให้ได้ประมาณครึ่งแก้ว ใช้เป็นยาเคลือบกระเพาะก่อนรับประทานอาหารประมาณ 1 ชั่วโมง สูตรนี้เป็นยาโบราณ
.
.
#7ประโยชน์ของหัวปลี
#สุขภาพดีทำอะไรก็ดี
#สุขภาพแย่ทำอะไรก็แย่
#goodbody4uส่งมอบสุขภาพดีให้คุณถึงบ้าน
#goodbody4u

7 โรคที่ "น้ำเปล่า" รักษาได้จริง

อาหารไม่ย่อย, กระเพาะอักเสบ ,ลำไส้อักเสบเรื้อรัง ,ท้องอืด, goodbody4u, นิชาภา

7 โรคที่ "น้ำเปล่า" รักษาได้จริง
.
.
1. ท้องผูก
อาการท้องผูกที่ใครหลายคนต้องเคยประสบกับปัญหานี้มาไม่มากก็น้อย สาเหตุของอาการท้องผูกมักมาจากอาหารการกินที่เราทานเข้าไป ทำให้อุจจาระของเราขาดความอ่อนนุ่ม อัดรวมเป็นก้อนแข็งใหญ่ ทำให้ถ่ายลำบาก (หรือไม่ถ่าย) การดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้น จะช่วยให้อาการท้องผูกลดลงได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะการดื่มน้ำอุ่น (อาจจะแช่มะนาวฝานบางๆ ลงไปในแก้ว 1 ชิ้นด้วย) ในตอนเช้า และดื่มน้ำตามหลังจากทานอาหาร ไปจนถึงน้ำเปล่าอีก 1 แก้วก่อนนอน รับรองได้ผลแน่


2. โรคริดสีดวงทวาร
ต่อจากอาการท้องผูก หากอุจจาระอ่อนนุ่มลง เราก็จะมีโอกาสเป็นโรคริดสีดวงทวารน้อยลงเช่นกัน หากไม่อยากเป็นโรคริดสีดวงทวาร นอกจากการเลือกทานอาหารที่มีกากใยอาหารสูง ลดการทานอาหารที่มีแป้ง และไขมันสูงแล้ว ควรดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอในแต่ละวันด้วย


3. ปวดศีรษะ/ไมเกรน
ใครที่มีอาการปวดศีรษะ หรือปวดไมเกรนเป็นโรคประจำตัวอยู่แล้ว หากไม่อยากมีอาการปวดบ่อยๆ หรือไม่อยากทานยาบ่อย สามารถจิบน้ำเปล่าดื่มระหว่างวันได้ ช่วยลดอาการปวดศีรษะได้ดีเลยทีเดียว


4. ความดันโลหิตสูง
การดื่มน้ำน้อยเกินไป ทำให้เลือดของเราข้น ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายทำงานหนักขึ้นไปด้วย นั่นจึงทำให้หลอดเลือดมีความดันมากขึ้น จนอาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น หรือคนที่มีอาการความดันโลหิตสูงอยู่แล้วก็อาจมีอาการหนักขึ้นได้ เพราะฉะนั้นหากเราดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน ก็จะช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ง่ายขึ้น


5. โรคอ้วน
แค่น้ำเปล่าธรรมดาๆ นี่แหละที่ช่วยลดโอกาสในการเป็นโรคอ้วนได้ ใครที่ต้องการลดน้ำหนัก ลองดื่มน้ำเปล่าระหว่างวันให้มากขึ้น จะช่วยให้เราไม่หิวบ่อยระหว่างวัน และดื่มเปล่าแทนน้ำหวานไปได้เลย จะเติมความสดชื่นด้วยการแช่ผลไม้สดลงไปในน้ำเปล่าด้วยก็ได้ ช่วยลดความอยากน้ำหวานของเราไปได้เยอะเลย แพทย์แนะนำว่า ใครที่เป็นโรคอ้วนอยู่แล้ว ลองดื่มน้ำให้ได้ 2-3 ลิตรต่อวัน ควบคู่ไปกับการลดทานแป้ง น้ำตาล ไขมันไม่ดี และออกกำลังกายด้วย ช่วยลดน้ำหนักได้แน่นอน


6. ปวดข้อ
อาการปวดข้อมักตามมากับโรคอ้วน เพราะน้ำหนักตัวที่มากเกินไป และน้ำในข้อน้อย จึงทำให้ข้อต่างๆ เช่น ข้อเข่า ข้อเท้า ข้อไหล่แห้ง ฝืดเคือง ขยับได้ไม่คล่อง การเติมความชุ่มชื้นให้กับเนื้อเยื่อบริเวณข้อต่อ ทำได้ง่ายๆ เพียงดื่มน้ำให้มากขึ้น อาการอักเสบ หรือบวมปวดก็จะน้อยลง


7. กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
นอกจากการทำงานที่รีบเร่ง ที่ทำให้เราดื่มน้ำน้อย และต้องกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน ทำให้มีโอกาสเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้มากขึ้น เพราะฉะนั้นหากคุณดื่มน้ำให้มากขึ้น และลุกไปเข้าห้องน้ำทันทีที่ปวดปัสสาวะ ก็จะไม่เป็นโรคนี้อย่างแน่นอน
.
.
#7โรคที่น้ำเปล่ารักษาได้จริง
#สุขภาพดีทำอะไรก็ดี
#สุขภาพแย่ทำอะไรก็แย่
#goodbody4uส่งมอบสุขภาพดีให้คุณถึงบ้าน
#goodbody4u

"ร้อนใน" เกิดจากสาเหตุ? วิธีแก้?และป้องกันอย่างไร?

อาหารไม่ย่อย, กระเพาะอักเสบ ,ลำไส้อักเสบเรื้อรัง ,ท้องอืด, goodbody4u, นิชาภา


"ร้อนใน" เกิดจากสาเหตุ 

วิธีแก้ และป้องกันอย่างไร
.
.
☀️ สาเหตุของการเกิดแผลร้อนใน


1. ขาดวิตามินและเกลือแร่ โดยเฉพาะวิตามินบี และธาตุเหล็ก

2. เป็นโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง

3. ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง

4. มีปัญหาด้านอารมณ์ จิตใจ และความเครียด

5. นอนไม่หลับ พักผ่อนไม่เพียงพอ

6. มีประวัติคนในครอบครัวเป็นแผลร้อนใน

7. กัดริมฝีปากหรือลิ้นของตนเองขณะเคี้ยวอาหาร

8. แพ้สารบางชนิดในยาสีฟันหรือมีแผลจากการแปรงฟัน

9. กระพุ้งแก้ม ลิ้น เสียดสีกับเหล็กดัดฟันหรือฟันปลอมบ่อยครั้ง


☀️ วิธีรักษาอาการร้อนใน

แผลร้อนในเล็กๆ สามารถหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์ แต่หากมีแผลร้อนในขนาดใหญ่ หรืออยากให้หายไวๆ สามารถรักษาได้ดังนี้


1. บ้วนน้ำเกลือ ให้น้ำเกลือโดนบริเวณแผล น้ำเกลือจะช่วยบรรเทาอาการอักเสบ บวมแดงได้

2. ยาทาแก้ร้อนใน โดยเป็นกลุ่มของตัวยาสเตียรอยด์ ชนิดทา เพื่อลดอาการอักเสบ ปวดบวม อาจเป็นยาน้ำ ขี้ผึ้ง หรือเป็นยาที่ใช้บ้วนปาก

3. สมุนไพรฤทธิ์เย็น มีหลายอย่างที่มีฤทธิ์รักษาอาการร้อนใน เช่น ใบบัวบก มะระขี้นก ว่านรางจืด แตงกวา ผักกาดขาว หัวไชเท้าเก๊กฮวย รากบัว หล่อฮังก๊วย เป็นต้น ดื่มน้ำสมุนไพรเหล่านี้จะช่วยบรรเทาอาการร้อนในได้ (แต่อย่าผสมน้ำตาลมากเกินไป)


☀️ วิธีป้องกันอาการร้อนใน

1. ไม่ทานอาหารรสจัด และของทอดมากเกินไป

2. ดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน วันละ 6-8 แก้ว

3. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่ปล่อยให้ตัวเองเครียดจนเกินไป

5. รักษาความสะอาดภายในช่องปากอย่างระมัดระวัง ไม่แปรงฟันแรงเกินไป

6. ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
.
.
#ร้อนในเกิดจากสาเหตุวิธีแก้และป้องกันอย่างไร
#สุขภาพดีทำอะไรก็ดี
#สุขภาพแย่ทำอะไรก็แย่
#goodbody4uส่งมอบสุขภาพดีให้คุณถึงบ้าน
#goodbody4u

แก้วมังกร 10 ประโยชน์สุดเจ๋ง!

อาหารไม่ย่อย, กระเพาะอักเสบ ,ลำไส้อักเสบเรื้อรัง ,ท้องอืด, goodbody4u, นิชาภา


>> แก้วมังกร 10 ประโยชน์สุดเจ๋ง!!!
.
.
1. ช่วยบำรุงผิว 
มีส่วนช่วยบำรุงผิวทำให้ผิวสวยเรียบเนียน กระจ่างใสขึ้นและยังลดการเกิดสิวด้วย


2. ดับกระหายได้ดี 
ด้วยรสชาติหวานอ่อนๆ ของแก้วมังกร จึงช่วยดับกระหายได้อย่างดีเยี่ยม


3. เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย 
มีสรรพคุณเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง และยังช่วยต่อต้านโรคภัยต่างๆ ได้ดีทีเดียว


4. ตัวช่วยลดน้ำหนักได้ผล 
แก้วมังกร เป็นผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูงจึงทำให้ช่วยลดน้ำหนัก และเป็นตัวช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดี


5. สารต่อต้านอนุมูลอิสระสูง 
มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่เป็นจำนวนมาก จึงช่วยป้องกันโรค และปกป้องผิวได้ดีทีเดียว


6. ป้องกันโรคร้าย 
มีส่วนช่วยป้องกันโรคหัวใจ และป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด นอกจากนี้ยังช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อีกด้วย


7. ช่วยดูดซับสารพิษในร่างกาย 
สามารถช่วยดูดซับสารพิษในร่างกายได้ จึงทำให้ผิวพรรณของเราดูสดใสขึ้น และยังสุขภาพดีด้วย


8. ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น 
เนื่องจากมีกากใยสูงจึงสามารถช่วยในการขับถ่ายให้มีประสิทธิภาพขึ้น แถมยังช่วยในการปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ได้อีก


9. บำรุงกระดูกและฟัน 
มีสรรพคุณในการบำรุงกระดูก และฟันให้แข็งแรง ซึ่งเหมาะกับวัยทองที่สุด


10. ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง 
คนที่ทานแก้วมังกรบ่อยๆ จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งต่ำกว่าคนที่ไม่กินแก้วมังกรเลย
.
.
#แก้วมังกร10ประโยชน์สุดเจ๋ง
#สุขภาพดีทำอะไรก็ดี
#สุขภาพแย่ทำอะไรก็แย่
#goodbody4uส่งมอบสุขภาพดีให้คุณถึงบ้าน
#goodbody4u

"ท้องผูก" พิชิตด้วยการเปลี่ยนนิสัย

อาหารไม่ย่อย, กระเพาะอักเสบ ,ลำไส้อักเสบเรื้อรัง ,ท้องอืด, goodbody4u, นิชาภา


"ท้องผูก" พิชิตด้วยการเปลี่ยนนิสัย
.
.
อย่างที่รู้กันว่า ปกติแล้วเราจะรู้สึกปวดท้องถ่ายในช่วงเช้าเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะช่วงเวลา 05.00-07.00 น. ที่ลำไส้ใหญ่ทำงาน ช่วงนี้จะเป็นเวลาที่เราถ่ายอุจจาระได้ง่ายที่สุด แต่ถ้าใครพลาดนาทีทองไปละก็ อุจจาระเหล่านั้นก็จะถูกดูดน้ำกลับ ทำให้มีสภาพแข็ง ขับถ่ายได้ลำบาก หากยิ่งปล่อยไว้นานๆ ไม่ยอมถ่ายออก นอกจากจะรู้สึกอึดอัด อ่อนแรง หงุดหงิดง่ายแล้ว มีโอกาสเป็นริดสีดวงตามมาอีก

ก่อนจะถึงขั้นนั้น ต้องปฏิวัติตัวเองอย่างจริงจัง เพื่อพิชิตอาการท้องผูกกันแล้ว !!!


1. ทานอาหารที่มีกากใยสูง 
เช่น ฟักทอง ลูกพรุน ข้าวโพด มะละกอ แนะนำให้ทานใยอาหาร 20-30 กรัม/วัน


2. ออกกำลังกายเป็นประจำ 
เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายได้เคลื่อนไหว และทำงานได้ดีขึ้น เมื่ออวัยวะต่างๆ ทำงานได้ดีขึ้น ก็จะไปส่งผลให้ลำไส้ขยับเคลื่อนไหวได้ดีขึ้นตามไปด้วย


3. หากรู้สึกปวดอุจจาระให้เข้าห้องน้ำทันที 
อย่ากลั้นไว้ เพราะยิ่งรอนาน ยิ่งเพิ่มอาการท้องผูก


4. ฝึกเข้าห้องน้ำขับถ่ายทุกเช้าให้เป็นกิจวัตร 
โดยควรนั่งถ่ายอย่างผ่อนคลายประมาณ 10 นาที ไม่ควรเร่งรีบเกินไป


5. ดื่มน้ำน้อยก็ทำให้ท้องผูกได้ 
เพราะฉะนั้นควรดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว เพราะน้ำคือส่วนประกอบสำคัญของร่างกาย และยังช่วยให้กากอาหารอ่อนตัวลง


6. งดดื่มน้ำชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 
เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้มีสารที่ทำให้ลำไส้บีบตัวน้อยลง แต่จะไปกระตุ้นให้ปัสสาวะบ่อย ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ ส่งผลให้อาการท้องผูกตามมา


7. ยาระบาย หรือ ยาถ่าย
สามารถใช้ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ไม่ควรใช้บ่อย หรือเป็นระยะเวลานานๆ เพราะว่าลำไส้จะชินต่อยากระตุ้นพวกนี้ หากมีอาการท้องผูกขึ้นมาอีกก็ต้องใช้ยาแรงขึ้นเรื่อยๆ


8. ลดความเครียดลง 
ทำจิตใจให้เบิกบาน แจ่มใส 
.
.
#ท้องผูกพิชิตด้วยการเปลี่ยนนิสัย
#สุขภาพดีทำอะไรก็ดี
#สุขภาพแย่ทำอะไรก็แย่
#goodbody4uส่งมอบสุขภาพดีให้คุณถึงบ้าน
#goodbody4u